การศึกษาไทย...ยังไร้เป้าหมายจริง (หรือ)

      เริ่มแรกของการศึกษาของไทยยังไม่ชัดเจนมากนัก เพียงแต่เราได้พูดกันมาโดยตลอดว่า การศึกษาไทยเริ่มเกิดขึ้นภายในกำแพงวัด ซึ่งเป็นการศึกษาแนวบริบทการรับฟังธรรมะจากพระสงฆ์เฉพาะในวันพระ  ซึ่งสัปดาห์หนึ่งมีแค่ 1 วันเท่านั้น  และวิชาส่วนใหญ่ที่ใช้สอนกันก็ไม่ใช่วิชาฟิสิกส์ เคมี ภาษา หรือวิชาสมัยใหม่ที่ทำให้เด็กทุกวันนี้คิดว่าตนเองเก่งกว่าคนในสมัยโบราณ  วิชาธรรมะ (ธรรมชาติ) ถือเป็นวิชาที่สอนให้มนุษย์เราดำรงชีวิตอยู่ได้ในทุกสังคม ทุกสภาวการณ์ เราจะเห็นว่าคนในสมัยนั้นมีจรรยามารยาทสวยงาม  มีความเฉลียวฉลาดจนทำให้ตกเป็นเป้าหมายของหลายประเทศที่กำลังล่าอาณานิคมอยู่ในตอนนั้น เพียงเพื่อจับจองพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์ด้วยจริยปัญญา แต่ก็ไม่สามารถที่จะยึดครองประเทศสยามนี้ได้  ซึ่งถ้าเรามองปัจจุบันนี้ การเรียนการสอนมีขึ้นแทบทุกวัน หรือบางแห่งแทบไม่มีวันหยุดเลยก็ว่าได้ จันทร์ถึงศุกร์เรียนในสถานศึกษา และวันเสาร์อาทิตย์เรียนพิเศษหรือเรียนกวดวิชา  แต่ปัญหาหรือเหตุการณ์ที่ปรากฎตามหน้าข่าวหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์ ล้วนบ่งบอกและชี้ให้เห็นว่าการศึกษาไทยยังไร้เป้าหมายที่ชัดเจนจริงหรือ หรือการศึกษาไทยถูกวิวัฒนาการจนเกินกว่าคนในประเทศนี้จะพัฒนาไปตามทันได้

       จากยุคที่การศึกษาอยู่ในวัด  เปลี่ยนแปลงมาเป็นการศึกษานอกกำแพงวัด ด้วยความเชื่อที่ว่าการศึกษาช่วยกำหนดทิศทางของชาติ เพื่อพัฒนาคนไทยให้มีความพร้อมที่จะเป็นกำลังสำคัญสำหรับการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า  โดยจัดการศึกษารูปแบบใหม่ตามนโยบายของรัฐบาลชุดนั้นๆ  เมื่อรัฐบาลเปลี่ยน การศึกษาก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย ทิศทางการศึกษาก็หันเหไปตามยุคตามสมัย ประมาณว่ารัฐบาลเป็นผู้กำหนดชะตาของการศึกษาไทยอย่างใดอย่างนั้น
       ดังนั้น  การศึกษาของไทยจึงยังไม่มีรูปแบบแน่นอนตายตัวชัดเจน  ความไม่มีรูปแบบแน่นอนชัดเจนจึงทำให้ความเป็นอัตลักษณ์ของการศึกษาไทยก็ไม่ปรากฎในสายตาของคนประเทศอื่นๆ ไม่เหมือนประเทศที่มีรูปแบบการศึกษาแน่นอนชัดเจน อย่างเช่น ออสเตรเลีย อังกฤษ หรือประเทศในแถบเอเชียด้วยกันอย่างสิงคโปร์  ซึ่งแม้จะเปลี่ยนรัฐบาลแต่เขาไม่เปลี่ยนรูปแบบ  เพียงแต่พัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาให้เข้าถึงกลุ่มประชาชนในประเทศเขาให้มากที่สุดเท่านั้น

       วิวัฒนาการของการศึกษาไทยมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ (การศึกษาในวัด) เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งถือว่าเป็นการศึกษายุคปฏิรูปซ้อนปฏิรูป  กล่าวคือปฏิรูปแล้วปฏิรูปอีกในเรื่องของแผนพัฒนาการศึกษา หลักสูตร ครูผู้สอน หรือแม้แต่ตำราเรียน สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้ประเทศไทยมีตำราเรียนเกิดขึ้นแทบทุกวัน (ความรู้ที่ไม่ก่อให้เกิดปัญญา) เด็กแบกตำราไปเรียนแต่ละวันแทบจะไม่ไหว เสมือนกำลังจะบอกว่าเด็กไทยมีความรู้ความสามารถที่จะจดจำเนื้อหาตำราเหล่านั้นได้หมด  แต่จะมีตำราเล่มไหนบ้างที่ทำให้เด็กเกิดพัฒนาการทางด้านความคิดและความรู้ได้จริง  จะต้องให้เด็กเลือกเองไหม หรือผู้ใหญ่อย่างเราๆ เลือกสรรให้กันแน่ ประเด็นนี้ท่านก็คงจะพอตอบได้  ฉะนั้น ถ้าเป็นอย่างนี้การศึกษาของไทยยังคงไร้เป้าหมายจริงๆ ในสายตาท่านหรือไม่...

สติมา  นารีนุช
นักวิชาการศึกษา